วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2557

รายงานเรื่อง Times

รายงานเรื่อง Times

สมาชิก

  1. รหัสนักศึกษา 565740151-2 นางสาวณัฏฐวรกาญจน์  ประดิษฐ์  
  2. รหัสนักศึกษา 565740158-8 นางสาวปรียาวรรณ  สิทธ์ชัย 
  3. รหัสนักศึกษา 565740159-6 นายปิยะทัศน์  พาโสมมนัสสกุล 
  4. รหัสนักศึกษา 565740229-1 นางสาวอนงค์นาถ  ทองล้น 
MBA KKU YoungExecutive #15 Section 1




( เรียงตามรายชื่อสมาชิก )

ลำดับที่ 1

ตอนฝึกงานซัมเมอร์ ปี 3 ซึ่งฝึกงานนานมาก คาบเกี่ยวมาถึงปี 4 เทอม 1 ในช่วงนั้นสิ่งที่ทำคือ 
   1. ทำโปรเจคจบ (แขนหุ่นยนต์) (18.00 น – 03.00 น ของทุกวัน)
เขียน MATLAB และบอร์ด “Arduino “ เพื่อควบคุมแขนหุ่นยนต์
   2. เรียน

   3. ผู้ช่วยอาจารย์ (TA) 3 วิชา (จันทร์, เสาร์และอาทิตย์)
เช็คชื่อนักศึกษา, อาจมีสอนแทนอาจารย์, คุมห้อง LAB,  สรุปรายชื่อการเข้าเรียน, ตรวจการบ้าน-LAB และคุมสอบ
   4. ทำงานพิเศษ กับมหาวิทยาลัย (ที่แฟลตป่าดู่ หน่วยงานก่อสร้างและซ่อมบำรุง) (พุธและศุกร์) ด้านเอกสารราชการ ทุกอย่างในหน่วยงาน
   5. ฝึกงาน (บริษัทขอนแก่นซอฟต์เทคจำกัด, ที่ม.พวงเพชร 4 ค่ายร.8)(จันทร์, อังคาร,พุธและศุกร์)
แผนกโปรแกรมเมอร์หน่วยงาน Oracle จะมีโปรเจคจบ คือ เขียนโปรแกรมในส่วนแผนกฝ่ายจัดซื้อ

ทุกอย่างจะมีรายละเอียดต่าง ๆ ที่ต้องรับผิดชอบ
  1.  เรียน : ก็มีรายงาน,  มีการบ้าน,  มีควิช (ที่ต้องอ่านหนังสือ) และการสอบ (กลางภาค, ปลายภาค)
  2.  ฝึกงาน : ก็มีโปรเจคจบที่เราต้องทำ เพื่อเป็นการสอบว่าจะผ่านฝึกงานหรือไม่
  3.  TA : ต้องสรุปรายชื่อนักศึกษาแต่ละ section ที่เราคุมให้อาจารย์ดู แล้ว list ว่ามีใครบ้างขาดไป   เพราะอะไร ใครบ้างไม่มีสิทธิ์สอบ และตรวจการบ้าน-LAB ของนักศึกษา section ของเรา
  4.  โปรเจคจบ : ไม่เคยเรียนมาเลยเรื่องที่ทำ ต้องค้นคว้าใหม่หมด เลยยากสำหรับตัวเอง แถมปรึกษารุ่นพี่ หรือ เพื่อน ก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครรู้ แต่โชคดีที่อาจารย์ที่ปรึกษาช่วยเต็มที่

เป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยที่สุดเท่าที่จะว่าได้ เพราะต้องขับรถไป – กลับ ซึ่งมีระยะทางไกล มีเวลานอนไม่กี่ชั่วโมง ทำให้ต้องจัดการเวลาให้ดี แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี .. จากการทุ่มเททำให้มีประสบการณ์ต่างๆ .. สอนให้โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ได้เรียนรู้นิสัยของคนมากขึ้น, มีทักษะด้านเอกสาร เป็นการเตรียมพร้อมทำวิทยานิพนธ์ เพราะอาจารย์ที่ปรึกษาโปรเจคละเอียดทุกขั้นตอน ทุกตัวอักษร เล่มรายงานและโค้ดโปรแกรม แก้บ่อยมาก จนนั่งร้องไห้ตลอดจนวันสอบปลายภาค สิ่งที่ภูมิใจจากประสบการณ์ คือ ได้เงินค่าตอบแทน ได้การใช้ชีวิต การแบ่งเวลา และรางวัล

โปรเจคจบฝึกงาน
      - รางวัลชนะเลิศ 
โปรเจคจบปี 4
      - รางวัล รองชนะเลิศในงานประชุมทางวิชาการ
      - รางวัลรองชนะเลิศในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์
      - เป็นตัวแทนนักศึกษา ปี 4 พูดแนะแนวน้องปี 3 ที่อาคารเรียนรวมคณะวิทยาศาสตร์ 

ลำดับที่ 2
       ในช่วงชีวิตของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน แต่ละคนที่เกิดมาบนโลกใบนี้ล้วนต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแตกต่างกันออกไป เมื่อกาลเวลาผ่านไปเหตุการณ์เหล่านั้นจะแปรเปลี่ยนไปเป็นประสบการณ์ที่มีผลทั้งในด้านดีและร้ายซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าภูมิคุ้มกันของแต่ละคน แต่สำหรับฉันมันคือประสบการณ์ที่ส่งผลในด้านดี แต่เกิดขึ้นจากความกลัวและความกดดันภายในตนเอง เรื่องประสบการณ์ที่ดีของฉันเริ่มขึ้นเมื่อฉันจบการศึกษามัธยมปีที่ 6 และเริ่มชีวิตใหม่ ในรั้วของมหาวิทยาลัย จากคนที่เรียนพอถึงเวลาเลิกเรียนก็กลับบ้าน การเล่นกับเพื่อนหลังเลิกเรียนมีโอกาสน้อยมาก หรือจะเรียกอีกแบบ คือ พวกเด็กเรียนนั่นแหละ นี่คือคำนิยามที่เพื่อนหลังห้องของดิฉันให้นิยามไว้ก่อนพวกเราจะจบ และแยกย้ายกันไปทำตามความฝัน ดิฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ด้วยโครงการโควต้ารับตรงก่อนเพื่อนในห้อง ทำให้ไม่ต้องเครียดหาที่เรียนที่อื่นหรือสอบแอดมิชชั่น การเข้ามาอยู่และใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยสำหรับดิฉันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะการที่ฉันเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว พ่อ และแม่ จะจำกัดการใช้ชีวิตเกือบทุกด้าน จนทำให้ฉันสูญเสียความกล้า และกลัวที่จะลงมือทำอะไรที่มันฝ่าฝืนสิ่งที่พ่อและแม่ห้าม แต่การเลือกสาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาคือสิ่งเดียวที่ฉันทำด้วยความกล้า แม้ว่าพ่อแม่จะไม่เห็นด้วยสักเท่าใดนัก ชีวิตการเรียนของดิฉันในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นดำเนินไปด้วยความตื่นเต้น และยากลำบาก

  1. ต้องขับรถไปเรียนเอง
  2. ต้องอยู่และเรียนรู้การใช้ชีวิตคนเดียว
  3. ที่ยากไปกว่านั้นเมื่อการสอบกลางภาคมาถึงฉันเครียดมาก กลัวไปหมดทุกสิ่ง
  • กลัวว่าจะสอบไม่ได้
  • กลัวว่าจะไม่ได้เรียนที่นี่อีกต่อไป เพราะการสอบมัธยมกับมหาวิทยาลัยมันต่างกัน
เมื่อความกลัวมีอยู่เต็มหัวไปหมด ฉันจึงตั้งสติ และหาทางที่จะทำให้ตนเองไม่ต้องอยู่สภาวะเช่นนี้

  • จึงปรึกษากับพี่รหัส และเพื่อนสนิท เพื่อขอแนวทางในการทำข้อสอบ
  • เมื่อได้แนวทางมาแล้วจึงศึกษา และทำความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียน
เมื่อการสอบกลางภาคผ่านไป ฉันจึงคิดได้ว่าเราจะทำตัวอยู่แบบนี้ไม่ได้ ต้องปรับปรุงตนเอง เมื่อคิดได้เช่นนั้น

  • ในระหว่างที่เรียนฉันจึงต้องใจฟังที่อาจารย์สอน
  • จดสิ่งสำคัญที่น่าจะเป็นประโยชน์
  • หลังเลิกเรียนดิฉันก็นำสิ่งที่เรียนในวันนั้นมาอ่านอีกรอบ และสรุปเนื้อหาแบบย่อเอาไว้ ทั้งที่ช่วงนั้นเวลาแทบไม่ค่อยมีเนื่องจากกิจกรรมรับน้องมหาวิทยาลัย ของคณะ ของสาขา และซ้อมเชียร์  ทำให้ฉันต้องกลับบ้านดึกบ่อยครั้ง เมื่อถึงช่วงสอบปลายภาค
  • ฉันจะเผื่อเวลาไว้อ่านหนังสืออย่างเต็มที่ 3 วันก่อนสอบ
เมื่อผลการสอบออกมามันทำให้ดิฉันถึงกับประหลาดใจ ฉันได้ผลการเรียนเฉลี่ย 3.84 ในปีที่ 1 ฉันเริ่มเชื่อมั่นในตนเองว่าการทำสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นก่อนสอบ มันได้ผล จากนั้นฉันก็ทำเช่นนี้มาเรื่อยๆ จนจบปีสี่ ฉันได้เกียรตินิยมมาเป็นของขวัญให้พ่อและแม่ได้สำเร็จ ช่วงเวลานั้นคือการใช้เวลาที่คุ้มค่า และนับว่าเป็นประสบการณ์ดีๆ ที่ดิฉันเคยประสบมาจากความกลัวที่ฉันมีกลายเป็นพลังในการขับเคลื่อนความฝัน

ลำดับที่ 3


ตอนนั้นตัวผมกำลังศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 4 ในช่วงของการฝึกงานที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่หนักที่สุดในการเรียนเพราะมีสิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมตัวอยู่ 4 อย่าง หากทำอย่างใดอย่างหนึ่งไม่สำเร็จก็จะไม่สามารถจบการศึกษาตามเวลาปกติได้ 
  1. การทำงานวิจัย โดยงานนี้เป็นงานของเราเองคนเดียว ซึ่งตัวงานดำเนินมาตั้งแต่ตอนชั้นปีที่สอง และใกล้จะถึงเวลาสรุปผลการวิจัย รวมเล่มและเตรียมนำเสนอทั้งกับกรรมการภายในและคณะกรรมกรรมการ ISPO ขององค์กร ISPO นานาชาติ 
  2. การสอบ Comprehensive เป็นการสอบรวมทุกวิชาตั้งแต่แยกมาเรียนวิชาสาขา
  3. การเตรียมการสอบใบประกอบโรคศิลป์ เป็นการสอบที่มีเนื้อหาทั้งในด้านวิชาชีพ และความรู้ทางด้านกฎหมาย
  4. การรับเคสในช่วงการฝึกงาน ในการทำงานของนักกายอุปกรณ์ ต้องทำการวินิจฉัยผู้ป่วยร่วมกับทีมเวชศาสตร์ฟื้นฟู (แพทย์ พยาบาล นักกายภาพบำบัด และนักกายอุปกรณ์) ต้องมีการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมและมีการประชุมพูดคุยปรึกษากันในทีมเสมอ ก่อนจะออกแบบหรือใบสั่งทำอุปกรณ์อะไรซักอย่างให้คนไข้ มีการประเมินผลงานและติดตามผลการใช้อุปกรณ์ของคนไข้
เพื่อที่จะผ่านช่วงเวลานั้นไปให้ได้ตัวผมต้องมีการเปลี่ยนตารางเวลาการใช้ชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง
  • เลิกดื่มเหล้า
  • เลิกกิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทุกอย่าง โดยตารางเวลาในชีวิตเปลี่ยนเป็นตามนี้
  1. 5.30 น. ตื่นทำกิจวัตรประจำวัน
  2. มารอรถเมล์ที่ป้ายก่อนหกโมงเช้า (พักอยู่หอแถวเซนทรัลปิ่นเกล้า ฝั่งธน) เพื่อจะรอรถเมล์สาย 507 แล้วเดินทางไปที่โรงพยาบาลจุฬาให้ทันก่อน 8.00 น. 
  3. เมื่อไปถึงที่ทำงาน ต้องเตรียมตัวอ่านเคสที่กำลังจะเข้ามา และทบทวนเคสที่ทำไปแล้วเตรียมเขียนคำถาม และข้อสงสัยไว้รอถามอาจารย์หมอ
  4. เมื่อถึงเวลาคนไข้มาก็ต้องทำงานอย่างสุดความสามารถ และต้องทำงานให้ดูเป็นมืออาชีพที่สุดเพื่อให้คนไข้เกิดความไว้วางใจ และเชื่อมั่นในตัวเรา แม้ว่าในทีมเราจะอายุน้อยกว่าคนอื่นๆ
  5. ถึงตอนพักเที่ยงพยายามกินเข้าในที่ที่ไม่ต้องรอนานและรีบกลับมานั่งทบทวนงานวิจัยของตัวเองเพื่อเตรียมตัวกลับไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาที่โรงพยาบาลศิริราชในตอนเย็น 
  6. หลังเลิกงานกลับไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาที่โรงพยาบาลศิริราช พูดคุยทั้งในเรื่องเคสที่ทำที่โรงพยาบาลจุฬาฯ และงานวิจัย หากอาจาย์มีข้อเสนอแนะ และข้อแก้ไขก็ต้องรีบกลับไปทำภายในคืนนั้น
  7. โดยปกติจะถึงที่พักประมาณ 19.00 น. ออกกำลังกายเบาๆ ในห้อง และอาบน้ำแล้วลงไปหาข้าวกินแถวหน้าปากซอย
  8. หลังจากนั้นกลับมาอ่านหนังสือ เพื่อเตรียมสอบ comprehensive และ ใบประกอบโรคศิลป์โดยทำตารางการอ่านหนังสือตามปริมาณเนื้อหาของแต่ละวิชาที่ต้องอ่าน
  9. ในส่วนวิชากฎหมายส่วนใหญ่ใช้เวลาอ่านในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ตอนนั้นจะพยายามนอนไม่เกินเที่ยงคืนครึ่งในทุกๆวัน
เมื่อทำเช่นนี้ได้เป็นเวลา 3 เดือน

  1. ทำให้ผมสามารถผ่านการฝึกงาน
  2. ผ่านการทำวิจัย
  3. ผ่านการสอบ comprehensive
  4. ผ่านการสอบใบประกอบโรคศิลป์
ในขณะที่หลายคนไม่ผ่าน และต้องกลับไปสอบแก้ หรือทำงานวิจัยต่อเวลาออกมาอีก ทำให้จบช้ากว่าเวลาปกติ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เหนื่อยมากที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตแต่มันทำให้ผมรู้ถึงคุณค่าของเวลาและการจัดสรรมันในทุกๆ นาที 

ลำดับที่ 4

ดิฉันได้มีโอกาสไปสหกิจศึกษาช่วงปี 4 เทอม 2 ที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร 
ระยะเวลา 4 เดือน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ต้องใช้ชีวิตคนเดียวอยู่ไกลบ้าน ช่วงนั้นเป็นการปรับตัวมากๆ ทั้งเรื่องการเดินทางไปทำงาน ที่ต้องตื่นเช้ามาก เพื่อที่เข้างานให้ทัน การใช้ชีวิตโดยการทำอะไรด้วยตัวเอง การรู้จักหรือสร้างเพื่อนใหม่ การทำงานที่จริงจังเปรียบเสมือนพนักงานออฟฟิสในบริษัท

ทุกเช้าจะมีการวางแผนการเดินทางไปทำงาน โดยคิดว่าไปด้วยวิธีใดจะใช้เวลาน้อยที่สุด อย่างตอนแรกก็นั่งรถแท็กซี่ไป ซึ่งวิธีนี้จะใช้เวลานานมาก เพราะรถติดและค่าโดยสารก็แพงมากเช่นกัน สักพักเริ่มมาใช้บริการวินมอไซต์ ซึ่งวิธีนี้จะใช้เวลาที่น้อยกว่านั่งรถแท็กซี่ ค่าโดยสารก็ถูกกว่ามาก จึงเลือกที่จะใช้วินมอไซต์ในการเดินทางไปทำงาน ทำให้มีเวลาว่างในช่วงเช้ามากขึ้น ได้ทานข้าวเช้า แล้วยังเหลือเวลาตรวจทานงานก่อนๆได้อีกด้วย กลายเป็นว่า ปัจจุบันนี้เวลาใครนัดก็จะเผื่อเวลาเดินทางแล้วไปถึงจุดนัดหมายก่อนล่วงหน้าเสมอ

ในการทำงานของแต่ละวัน พี่จะมอบงานให้ ซึ่งพวกเราทำงานเป็นทีม ทั้งทำในส่วนดาต้าเบสและเขียนโค้ดในภาษาจาวา ในช่วงแรกที่เข้าไปทำงาน งานหนึ่งๆจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 อาทิตย์ ซึ่งเป็นระยะเวลานานมาก เพราะลูกค้าก็ต้องการงานเช่นกัน ช่วงนั้นเจอแรงกดดันจากพี่ๆในบริษัท ว่าทำไมทำงานไม่ดี ใช้เวลานานไปหรือเปล่า จนบางครั้งก็รู้สึกไม่อยากทำ เหนื่อย เบื่อ พอหลังๆมา พวกเราเริ่มทนแรงกดดันไม่ไหว เราจึงมาคุยกันว่า ใครถนัดงานแบบไหนให้ทำงานนั้นๆไปเลย อย่างดิฉันถนัดเรื่องจาวา ก็ดูว่าเกิดบั๊กตรงไหน ก็แก้ตรงนั้น เช็คspecification ให้ดี ขอคำปรึกษาจากพวกพี่ที่ถนัดเรื่องจาวา ส่วนเพื่อนที่ถนัดดาต้าเบส ก็ทำในส่วนนี้ ดูโค้ดว่ามันเรียบร้อยไหม defectตรงไหนก็แก้ตรงนั้น พอทำแบบนี้ไปเรื่อยๆผลปรากฏว่าเราใช้เวลาในการทำฐานข้อมูลและการออกแบบUser Interface ได้เร็วขึ้น จากใช้เวลา 3 อาทิตย์ ก็เหลือ 2 อาทิตย์ จนเหลือ 1 อาทิตย์ และยังได้รับคำชมจากพวกพี่ๆ จึงทำให้พวกเรารู้สึกดีใจ ภูมิใจ สนุกกับงาน หายเหนื่อย มีความสุขที่ได้ทำงานที่ตัวเองถนัด นอกจากนี้ยังได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น รู้จักวัฒนธรรมองค์กรของบริษัทมากยิ่งขึ้น


จากประสบการณ์ทั้งหมด สามารถสรุปเป็นคำสั้นๆ ด้วยคำสามคำ ดังนี้ 

                               
แบ่งเวลา อดทน สม่ำเสมอ




William Henry Gates III
  • ประวัติ
ชื่อเต็มคือ วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ที่สาม เกิดที่เมืองซีแอทเทิล รัฐวอชิงตัน เมื่อวันอังคาร ที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1955 เกิดในครอบครัวมีฐานะที่มีพ่อเป็นทนายที่มีชื่อเสียงในซีแอทเทิล มีแม่เป็นอาจารย์ ซึ่งกลาย เป็นผู้บริหารธนาคาร และผู้บริหารองค์กร United Way of America ในภายหลัง นอกจากนี้ ตาของเขา (J. W. Maxwell) ยังเป็นผู้อำนวยการธนาคารชาติแห่งอเมริกาอีกด้วย

ที่มา: Bill Gates - Biography.com

บิดาชื่อนายวิลเลียม เอ็ช เกตส์ จูเนียร์ มีอาชีพนักกฎหมายของบริษัท มารดาชื่อแมรี แมกซ์เวล เกตส์ เป็นสมาชิกคณะกรรมการของ Berkshire Hathaway, First Interstate Bank, Pacific Northwest Bell และคณะกรรมการแห่งชาติของ United Way ปู่ของเขาคือ วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ซีเนียร์


  • ภูมิหลัง

      ในครอบครัวเกตส์มีการสอนให้มีนิสัยรักการแข่งขัน ชอบเล่นเกมส์เกี่ยวกับการแข่งขันมาตั้งแต่เด็กๆ และบิลก็มีแววของความฉลาดหลักแหลมมาตั้งแต่เด็ก เขามีความสนใจเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสามารถเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ตั้งแต่มีอายุเพียง 13 ปี เขาเพียบพร้อมด้วยกรรมพันธุ์ชั้นดีและสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวย พ่อ แม่มีการศึกษาดี ฐานะดี ส่วนตายายเป็นเจ้าของธนาคาร หลังเขาเกิดแม่ลาออกจากงานมาเลี้ยงดูเขากับพี่สาวและน้องสาว พร้อมกับสละเวลาบางส่วนให้กับองค์กรการกุศล บิลล์ เกตส์ จึงเห็นตัวอย่างของการแทนคุณแก่สังคม ตั้งแต่ครั้งเขาเล็ก ยายสนับสนุนให้เขาอ่านหนังสืออย่างต่อ พร้อมกับมีรางวัลให้แทบไม่อั้น รวมทั้งกองทุนเป็นเงินถึง 1 ล้านดอลลาร์

       บิลล์ เกตส์ พกมันสมองของอัจฉริยะติดมาด้วย เขาสนใจอ่านสารพัดอย่าง เมื่ออ่านแล้วก็จำได้ดีเหมือนถ่ายรูปแปะไว้ในสมอง เขาสามารถท่องคัมภีร์ซึ่งมีเนื้อหายาวเท่าๆ กับปาติโมกข์ได้ภายใน 3 ชั่วโมง เมื่อตอนอยู่ชั้นประถม เขามีความสามารถพิเศษในการนำชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบเป็นกลไกสำหรับใช้เป็นเครื่องเล่น บุคลิกเด่นๆ ได้แก่ การเป็นเด็กดื้อ ซน อดทน ต้องเอาชนะให้ได้ และไม่ยอมเสียเวลากระทั่งเสื้อผ้า เมื่อถอดตรง ไหนก็โยนไว้ตรงนั้น ในระหว่างเรียนชั้นประถม เขาเรียนออกหน้าเพื่อนร่วมชั้นทั้งด้านภาษาและด้าน คำนวณ หลังจากเข้าใจเนื้อหาแล้วก็มักก่อกวนเพื่อนร่วมชั้นและสร้างความรำคาญให้แก่ครู


ที่มา: Bill Gates - Biography.com




  • เริ่มธุรกิจ

       ในช่วงที่เรียนอยู่ในโรงเรียน Lakeside School บิล กับ พอล อัลเลน เพื่อนสนิท ได้ร่วมหุ้นกับเพื่อนอีก 3 คน ยื่นข้อเสนอว่าจะทำงานให้กับบริษัทคอมพิวเตอร์บริษัทหนึ่งชื่อบริษัท CCC’s Software เพื่อแลกกับการได้ใช้คอมพิวเตอร์ฟรีในบริษัทนั้น และหลังจากบริษัท CCC’s Software ปิดกิจการไป ในการร่วมหุ้นส่วนครั้งนี้ บิล ได้แสดงความเป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองสูงออกมา ด้วยการยื่นข้อเสนอว่า ถ้าเขาไม่ได้เป็นหัวหน้าทีม เขาก็จะไม่ขอร่วมงานนี้ด้วย ทั้งๆ ที่บิลนั้นเป็นเด็กที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม แต่เขาก็ได้แสดงทักษะของการเจรจาต่อรอง และการกล้าเรียกร้องเพื่อตนเองออกมา

เมื่ออายุเพียง 14 ปี บิลก็คิดหาช่องทางหาเงินอีก โดยร่วมกับพอล อัลเลน ทำธุรกิจรับเขียนโปรแกรม และในปีแรกนี้ บิลก็สามารถทำเงินได้เงินได้ถึง 2,000 ดอลลาร์ แต่เมื่อผู้จ้างเริ่มรู้ว่าอายุพวกเขาอายุยังน้อยอยู่ ธุรกิจนี้ก็ซบเซาไป หลังจากนั้น

       ในช่วงที่กำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย พอล อัลเลน ได้นำนิตยสาร Popular Electronics เล่มล่าสุดมาอวดให้บิลดู ในหนังสือเล่มนั้นแสดงถึงการมาถึงของ มินิคอมพิวเตอร์รุ่น Altair 8800 ซึ่งก่อนหน้านั้น เครื่องคอมพิวเตอร์จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่มาก และการประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กเครื่องแรกได้ ก็ทำให้ทั้งสองเห็นพ้องต้องกันว่า นี่จะเป็นจุดเปลี่ยนของอนาคตทั้งหมดในโลกนี้

ที่มา: Bill Gates - Biography.com

      บิลคิดว่าต่อไปข้างหน้าทุกบ้านจะต้องมีคอมพิวเตอร์ใช้ เขาจึงหาทางทำเงินต่อไป ด้วยการไปติดต่อบริษัท Micro Instrumentation and Telemetry Systems (MITS) บริษัทผลิตไมโครคอมพิวเตอร์ เพื่อที่จะแจ้งแก่พวกเขาว่า ตนและเพื่อนกำลังทำงานเกี่ยวกับการพัฒนา Software ที่ใช้แปลภาษา BASIC (Beginner's All-purpose Symbolic Instruction Code) ในคอมพิวเตอร์อยู่ ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว พวกเขายังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย พวกเขาเพียงต้องการลองหยั่งเชิงดูความสนใจของ MITS เท่านั้น 
       แต่ประธานบริษัท MITS ก็ยอมจัดเวลาให้พวกเขาเข้าพบพร้อมกับ demo ซอฟแวร์นั้นในอีกสองสามสัปดาห์ต่อมา ซึ่งเกตส์และอัลเลน ก็ได้ใช้เวลาในช่วงนั้นพัฒนาซอฟแวร์เลียนแบบ Altair ได้ทันเวลานัดพบ และการนำเสนอก็ประสบความสำเร็จและผ่านไปด้วยดี 
       พอล อัลเลนถูกจ้างเข้าทำงานที่ MITS และบิล เกตส์ ก็ตัดสินใจหยุดการเรียนที่มหาวิทยาลัย
ฮาวาร์ดไว้กลางคันก่อน เพื่อที่จะออกมาทำธุรกิจโดยเปิดบริษัทร่วมกับ พอล อัลเลน เปิดบริษัท Micro-Soft (ซึ่งจะเปลี่ยนเป็น Microsoft ในภายหลัง) ภายใต้บริษัท MITS และแยกตัวออกมาเป็นอิสระในที่สุด โดยในช่วง 5 ปีแรกนั้น บริษัท Microsoft ก็ยังไม่ได้เติบโตมากมายอะไรนัก ยังคงเป็นบริษัทเล็กๆ ที่จ้างเพื่อนๆ มาทำงานกันไม่กี่คน
       แต่เมื่อถึงปี 1980 บริษัท IBM บริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ ได้เสนอต่อบริษัทไมโครซอฟท์ ให้เขียนซอฟแวร์แปลภาษาเบสิค สำหรับคอมพิวเตอร์ IBM PC ของตนที่จะออกขายในไม่ช้านั้น และหลังจากทราบว่าไอบีเอ็ม กำลังต้องการซอฟท์แวร์ระบบปฏิบัติการในคอมพิวเตอร์ด้วย เขาจึงไปติดต่อบริษัท Digital Research บริษัทที่ผลิตซอฟท์แวร์ระบบปฏิบัติการ CP/M แต่ตกลงกันไม่ได้ บิลจึงหาทางอื่นต่อ โดยได้ไปพบกับ Tim Paterson เจ้าของบริษัท Seattle Computer Products ซึ่งได้เขียนโปรแกรมที่คล้ายๆ กับCP/Mไว้ใช้กับคอมพิวเตอร์ของตนเหมือนกัน 
       ระบบปฏิบัติการนี้ชื่อว่า 86-DOS ซึ่งบิลได้ตกลงซื้อขาดลิขสิทธ์มาในราคาเพียง $25,000 และนำมาพัฒนาต่อเป็น PC-DOS แต่เมื่อบิลนำระบบปฏิบัติการ PC-DOS ไปขายให้กับ IBM บิลกลับปฏิเสธที่จะขายลิขสิทธ์ในครั้งเดียว แต่ขอรับเป็นค่าลิขสิทธิ์ต่อชิ้นในทุกๆ เครื่องของคอมพิวเตอร์ที่ IBM จำหน่ายได้ เนื่องจากบิลเล็งเห็นแล้วว่า ในอนาคตตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล(PC) จะใหญ่มากและเป็นที่แพร่หลาย รวมทั้งคู่แข่งของไอบีเอ็มก็ต้องเลียนแบบและต้องมาซื้อระบบปฏิบัติการจากตนเช่นกัน แต่ในทางกลับกัน ผู้บริหารของไอบีเอ็มเองกลับคาดไม่ถึง และไม่คิดว่าตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลจะใหญ่โตมากมายอะไร จึงตกลงยอมรับข้อเสนอของบิลแต่โดยดี และนี่คือจุดเริ่มต้นของการผงาดขึ้นมายิ่งใหญ่ของบริษัทไมโครซอฟท์ ที่เริ่มต้นด้วยระบบปฏิบัติการ PC-DOS และไปจนถึงระบบปฏิบัติการ Windows ในเวอร์ชั่นต่างๆ จนถึงปัจจุบัน

  • ปัจจัยแห่งความสำเร็จ
ครอบครัวและการเลี้ยงดู
บิล เกตส์ เกิดในครอบครัวที่มีพื้นฐานที่ดี ทั้งพื้นฐานการศึกษา พื้นฐานความคิด ทั้งในด้านความทะเยอะทะยาน และการแข่งขัน รวมทั้งอาจมีส่วนของความฉลาดพิเศษที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อและแม่ด้วย

แรงผลักดันและความทะเยอทะยานสูง ชอบเอาชนะ
เกตส์เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว ซึ่งตามหลักการของ Birth Order ของดร. ลีแมน ที่กล่าวไว้ว่า ลูกคนโตและลูกคนเดียวมีโอกาสประสบความสำเร็จมากที่สุด และการเกิดเป็นลูกชายคนเดียว ย่อมได้รับบุคลิกนิสัยแบบลูกคนเดียวมาค่อนข้างมาก สังเกตจากประวัติที่เล่าด้านบนว่า บิล จะมีนิสัยค่อนข้างเอาแต่ใจ และไม่ค่อยประนีประนอม จึงเป็นนักเจรจาต่อรองที่โหดหินมากสำหรับคู่เจรจา และมีความทะเยอทะยานสูงมาก ช่วงที่บิลเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด และไม่สามารถทำคะแนนได้เป็นอันดับหนึ่งในคณะด้านคณิตศาสตร์ สิ่งนี้ถึงกับทำให้บิล ตัดสินใจเปลี่ยนคณะ เพราะรู้ตัวว่า ตนเองไม่สามารถเป็นที่หนึ่งในด้านนี้ได้ เขาจะเลือกเส้นทางที่เขาสามารถเป็นที่หนึ่งได้เท่านั้น นี่แสดงถึงแรงผลักดันและความทะเยอทะยานของบิลอย่างชัดเจน ความสนใจทางด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ซึ่งต่อมากลายเป็นความสนใจในเกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั่นเอง ซึ่งในยุคปัจจุบันวงการเกี่ยวกับไอทีนั้นเติบโตรวดเร็ว และสามารถทำเงินได้มากมาย

เกิดถูกที่ ถูกเวลา

เกิดถูกที่ คือเกิดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางการแพร่กระจายของประดิษฐ์กรรมสู่ตลาดโลก การเริ่มต้นธุรกิจที่ประเทศนี้จึงเท่ากับการมีตลาดใหญ่ที่สุดในโลกรองรับอยู่ รวมทั้งเป็นประเทศที่เริ่มมีการยอมรับเรื่องกฎหมายลิขสิทธิ์ เกิดถูกเวลา คือเกิดในยุคที่กำลังจะเปลี่ยนเข้าสู่ความสำคัญของคอมพิวเตอร์นั่นเอง หากเกตส์ไปเกิดในประเทศอื่นหรือช่วงเวลาอื่น อาจไม่สามารถสร้างบริษัทไมโครซอฟท์ได้ใหญ่โตขนาดนี้

มีวิสัยทัศน์

จากประวัติ จะเห็นว่า บิล เกตส์และ พอล อัลเลน เป็นเพียงไม่กี่คนในยุคนั้นที่สามารถมองออกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลจะกลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของคนเราอย่างมาก ซึ่งทำให้นอกจากเขาจะตามล่าการทำธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแล้ว เขายังเลือกที่จะไม่ขายลิขสิทธิ์ขาดในครั้งเดียว แต่เลือกที่จะรับค่าลิขสิทธิ์ต่อชิ้นแทน ซึ่งตรงนี้เท่ากับบิลเลือกที่จะเล่นเกมเสี่ยง ระหว่างเกินก้อนโตในครั้งเดียว กับเงินก้อนโตมหาศาลในระยะยาว(ถ้าคาดการณ์ถูก)

ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนโลก

ปัจจัยแห่งการประสบความสำเร็จมากมายของมหาเศรษฐีบางคน ที่บางครั้งก็มาจากการประสบ-ความสำเร็จในการได้คิดค้น หรือทำธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าผลิตภัณฑ์เปลี่ยนโลก ซึ่งมักมีอัตราการเติบโตของตลาดค่อนข้างสูงมาก คล้ายกับการสร้างฐานะขึ้นมาอย่างเร็วของดร.ทักษิณ ชินวัตร เพราะทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เปลี่ยนโฉมหน้าของประเทศ เช่น โทรศัพท์มือถือ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ของประเทศเราในขณะนั้น และเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดตลาดใหญ่มาก


นาง อองซาน ซูจี

  • ประวัติ
ออง ซาน ซูจี เกิดเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2488 ที่ ย่างกุ้ง ประเทศพม่า บิดาของนางอองซาน คือ นายพลอองซาน ที่ชาวพม่ายกย่องว่าเป็น “วีรบุรุษเพื่ออิสรภาพของประเทศพม่า” ถูกลอบสังหารเมื่อ วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 เมื่อเธอได้อายุได้ 2 ปี บทบาทของนายพลอองซานในการนำการต่อสู้กับญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักรที่เข้ามายึดครองพม่า ทำให้สหภาพพม่าได้รับอิสรภาพเป็นรัฐเอกราช

มารดาของนางอองซานคือ ดอว์ขิ่นจี ต้องรับภาระเลี้ยงดูบุตรชายหญิง 3 คนโดยลำพังหลังจากสามีถูกลอบสังหาร ซูจีเป็นลูกคนเล็ก และเป็นบุตรสาวคนเดียวของครอบครัว ภายหลังบิดาเสียชีวิตไม่นาน พี่ชายคนรองของเธอประสบอุบัติเหตุ จมน้ำตายในบริเวณบ้านพัก ซูจีและพี่ชายคนโตคือ อองซาน อู เติบโตมากับการเลี้ยงดูของมารดา ที่เข้มแข็ง และความเอ็นดูของเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของบิดา

พ.ศ. 2503 ดอว์ขิ่นจี ได้รับการแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งทูตพม่า ประจำประเทศอินเดีย ซูจีถูกส่งเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมและวิทยาลัยสตรีศรีราม ที่นิวเดลี จากนั้นไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ การเมือง และปรัชญาที่เซนต์ฮิวส์คอลเลจ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ระหว่างปี พ.ศ. 2507-2510 ช่วงที่ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ซูจีได้พบรักกับ ไมเคิล อริส นักศึกษาสาขาวิชาอารยธรรมทิเบต 
  • บทบาทในสายตาโลก
นางซูจีนั้นเรียกได้ว่าเป็นผู้นำในการเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยจากรัฐบาลทหารของพม่าแม้เธอจะถูกรัฐบาลพม่าประกาศกฎอัยการศึก พร้อมสั่งกักตัวและสั่งจับบรรดาสมาชิกพรรคการเมืองคนสำคัญของพรรค NLD ที่ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในประเทศโดยบริเวณที่กักก็คือบ้านของเธอเองเป็นเวลา 3 ปี และต่อมาขยายเป็น 6 ปี โดยไม่มีข้อหาอะไรเพิ่มเติม ตลอดระยะเวลาที่นางอองซานซูจีถูกกักตัวอยู่ในบ้านนั้น เธอไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด มีการออาหารประท้วงรัฐบาลพม่าในกรณีที่สมาชิกพรรคคนอื่นๆที่โดนขังที่คุกโดนทรมาน เธอทรมานร่างกายจนกลายเป็นแรงดันดันจากนานาชาติ จนในที่สุดรัฐบาลพม่าก็ยินยอมที่จะปฏิบัติต่อนักโทษเหล่านั้นอย่างดี ไม่มีการทรมาน ในขณะที่เธอโดนขังอยู่ได้มีการเลือกตั้ง และผลการเลือกตั้งพรรคของเธอชนะอย่างถล่มทลายแต่รัฐบาลพม่ากลับไม่ยอมมอบอำนาจให้แก่เธอผู้ซึ่งชนะการเลือกตั้ง และรัฐบาลทหารพม่าประกาศที่จะปล่อย อองซาน ซูจี ให้ไปยู่ต่างประเทศกับครอบครัว กับลูกและสามี ถ้าเธอยอมลาออกจากพรรค NLD แต่อองซาน ซูจี ไม่ยอมรับ เธอปฏิเสธข้อเสนอและยอมที่จะถูกกักบริเวณต่อไป แทนการละทิ้งอุดมการณ์ที่มี และยอมแพ้ ซึ่งเป็นการกระทำที่กล้าหาญ และเด็ดเดี่ยวเป็นอย่างมาก เธอยอมที่จะเสียสละชีวิตส่วนตัวของเธอยอมที่จะไม่ได้อยู่กับลูกๆ ทนความคิดถึงที่มีต่อสามี ซึ่งในขณะนั้นรัฐบาลพม่าได้ตัดการสื่อสารจากต่างประเทศ แล้วการที่โดนกักขังบริเวณให้อยู่แต่ภายในบ้านของตนเองนั้นโดยปราศจากครอบครัวนั้นหากใจไม่แกร่งจริง ไม่มีความอดทนอย่างจริงจัง เธอคงไม่ได้อิสรภาพเป็นแน่ นางอองซานซูจีต่อสู้จนถึงที่สุด จนได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เธอถูกกักบริเวณอีกหลายครั้งจนในที่สุด เธอก็ได้อิสรภาพ

ดิฉันชอบแนวคิดในการตอบคำถามของเธอในเวที World Economic Forum ถึงเรื่องความเข้มแข็ง และแรงบันดาลใจที่ทำให้เธอเป็นเธอดังเช่นทุกวันนี้ว่า “ดิฉันเชื่อว่าสายเลือด (DNA) มีส่วนอย่างมากในเรื่องนี้ แต่ดิฉันคิดว่าควรจะพูดถึงบางสิ่งที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คุณแม่ของดิฉันสอนให้ดิฉันเป็นคนที่มีระเบียบวินัย รวมถึงให้สำนึกใน “หน้าที่ที่ต้องทำ” เหนือสิ่งอื่นใด คุณแม่สอนดิฉันไม่ใช่เพียงแค่ว่า หน้าที่นั้นมีความสำคัญมากแค่ไหนในชีวิตของคน แต่ยังรวมถึงการแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างด้วย เธอสอนดิฉันว่า “หน้าที่” นั้นมีความสำคัญที่สุดในชีวิตของคนเรา ซึ่งดิฉันไม่รู้ว่าท่านที่อยู่ ณ ที่นี้จะเห็นด้วยหรือไม่นะคะ และแน่นอนค่ะ เราสามารถจะถกเถียงกันได้ไม่จบในความหมายของคำว่า “หน้าที่” ดังนั้น มันจึงเป็นธรรมชาติของดิฉันเอง ที่จะต้องทำหน้าที่ให้เสร็จสมบูรณ์ด้วยความสามารถสูงสุดที่ดิฉันมีอยู่ในตัว ... ดิฉันไม่สามารถที่จะบอกว่า การทำเยี่ยงนี้มันดีเสมอไป รวมถึงไม่สามารถที่จะพูดได้ว่า ดิฉันเลือกที่จะทำหน้าที่ก่อนสิ่งอื่นๆเสมอ … แต่ดิฉันพูดได้เต็มปากว่า ดิฉันพยายามที่สุดเสมอ” เธอทำให้คนทั่วโลกได้ประจักษ์ชัดเจนในความพยายามอย่างที่สุดของเธอ ทำให้คนอื่นรู้สึกมีพลังในการที่จะทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดเพื่อที่จะบรรลุความสำเร็จอย่างเธอ

คะชิโอะ ทะดะโอะ



  • ประวัติ
คะชิโอะ ทะดะโอะ เกิดในปี ค.ศ. 1917 ในครอบครัวที่ยากจนบนเกาะชิโกกุ ด้วยความยากจนอาหารที่ครอบครัวกินเป็นประจำคือ ข้าวสวยกับหัวมัน ครอบครัวของเขามีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก พ่อของเขาตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่ที่กรุงโตเกียวในปี 1923 เพื่อมาหางานก่อสร้างหลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ซึ่งกวาดล้างโตเกียวในช่วงเดือนกันยายนของปีนั้น คะชิโอ ทะดะโอจบแค่ชั้นประถมศึกษาและต้องออกจากโรงเรียนมาหางานทำ ด้วยความที่เรียนมาไม่สูง เขาต้องไปทำงานในโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรด้วยความมุมานะและพรสวรรค์ แต่เขาก็ทราบดีว่านี่ไม่อาจเปลี่ยนชีวิตความเป็นอยู่ของเขาให้ดีขึ้นได้อย่างยั้งยืน และถ้าจะให้เขาไปสมัครงานในบริษัททั่วๆไปก็คงเป็นไปไม่ได้เพราะเขาไม่ได้จบปริญญาตรีเหมือนคนอื่นๆ เขาจึงตัดสินใจเปิดบริษัทผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินรบขึ้นมา เพราะขณะนั้นญี่ปุ่นอยู่ในช่วงสงครามซึ่งนั้นทำให้เขามีเงินทุนมากพอที่จะทำสิ่งอื่นๆต่อ
  • การก่อตั้งบริษัท Casio
บริษัท Casio ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1946 ซึ่งเข้าใจได้ว่าก่อตั้งขึ้นนั้นภายหลังประเทศญี่ปุ่นได้ประกาศเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่ง ณ. ตอนนั้นสถานการณ์ทางการเงินในประเทศญี่ปุ่นค่อนข้างย่ำแย่มากเมื่อ คะชิโอะ ทะดะโอะเริ่มงานในบริษัทของเขา เขาเป็นเพียงวิศวกรประกอบซึ่งคาดหวังว่าอยากหาเวลาพักผ่อนยาวๆ สำหรับตัวเขาเอง แต่การหาเวลาพักผ่อนสำหรับเขานั้นไม่มีใครเหมือน เพราะ มิสเตอร์ คะชิโอะ ทะดะโอะได้ใช้เวลาว่างในการพักผ่อนทำการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเขาเองขึ้นมาชิ้นแรกเรียกว่า Yubiwa Pipe โดยมันถูกออกแบบมาเพื่อใช้เตือนเวลาบนนิ้วมือคนโดยมันถูกใช้เพื่อคอยคีบบุหรี่ เพื่อให้ผู้สูบบุหรี่สามารถสูบบุหรี่จนถึงก้นกรองได้โดยไม่ต้องใช้มือคอยจับบุหรี่อันเนื่องมาจากความร้อน ซึ่งทำให้คนงานสามารถที่จะสูบบุหรี่ได้โดยมือทั้งสองข้างยังคงทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องคอยมาจับบุหรี่ซึ่งถือว่าเป็นการลดเวลาที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์มาก
ภาพ Yubiwa Pipe


คะชิโอะ ทะดะโอะเป็นนักประดิษฐ์ผู้สร้างสรรค์ เขาจึงมักจะค้นหาสิ่งใหม่ๆ ให้กับผลิตภัณฑ์ของเขาเสมอ และแล้วที่งานแสดงสินค้าที่ เมือง Ginza ประเทศญี่ปุ่นในปี 1949 เขาก็คิดค้นเครื่องคิดเลขซึ่งมียอดขายตาม Yubiwa Pipe มาติดๆ ตัวเขาและพี่น้องต่างก็พากันทดลองเพื่อสร้างสรรค์เครื่องคิดเลขของพวกเขาเองขึ้นมาและอีกไม่นานนัก Casio ก็เปิดตัวเครื่องคิดเลขสายพันธุ์ใหม่ในปี 1954 ซึ่งเป็นเครื่องคิดเลขแบบแรกที่ใช้ ขดลวด solenoids และยังมีแป้นพิมพ์ของตัวเลข 10 หลัก และมีหน้าจอเดียวเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่มีถึงสามหน้าจอ และในปี 1957 Casio ก็ได้เปิดตัวเครื่องคิดเลขรุ่น Model 14-A ซึ่งเป็นเครื่องคิดเลข อิเล็กทรอนิกส์สมบูรณ์แบบเครื่องแรกที่ใช้เทคโนโลยี relay และในปีเดียวกันนั้นเองยังเป็นปีที่บริษัท Casio Computer ได้รับการก่อตั้งขึ้นบริษัทฯ เปิดตัวนาฬิกาข้อมือรุ่นแรกในตลาดเดือนพฤศจิกายนปี 1974 ในขณะที่ตลาดเองในขณะนั้นเพิ่งจะค้นพบเทคโนโลยีดิจิตอลขึ้นซึ่งทางบริษัทเองเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถพัฒนานาฬิกาที่จะเป็นผู้นำตลาดได้

นาฬิกาที่เป็นที่จดจำได้มากที่สุดคงหนีไม่พ้นนาฬิกาเครื่องคิดเลขที่ทางบริษัทผลิตขึ้น ซึ่งเป็นนาฬิกาข้อมือที่มีทั้งการทำงานแบบนาฬิกาที่มาพร้อมกับแป้นพิมพ์ตัวเลขขนาดจิ๋วละม้ายคล้ายคลึงเครื่องคิดเลข ซึ่งเหมาะกับความต้องการอย่างมาก สำหรับอาจารย์ที่สอนคณิตศาสตร์ โดยที่จะสามารถใช้เครื่องคิดเลขได้ทุกทีโดยไม่ต้องพกพาและสามารถที่จะช่วยเหลือนักเรียนที่ไม่ค่อยคล่องกับด้านตัวเลขอีกด้วยนอกจากนาฬิกาเครื่องคิดเลขแล้วคาสิโอยังพัฒนานาฬิกาข้อมือไปอีกระดับด้วยการสร้างสรรค์นาฬิกาข้อมือที่สามารถให้ข้อมูลที่น่าสนใจหลายประการให้กับผู้เป็นเจ้าของ เช่น บอกเวลาที่แตกต่างกันของแต่ละ Time zone บอกสภาพอากาศ อุณหภูมิ และความดัน นักปีนเขาก็มักจะชอบรุ่นที่สามารถบอกระดับความสูงได้ในขณะที่ผู้ผลิตนาฬิการายอื่นยังคงนำเสนอรายละเอียดของนาฬิกาข้อมือในแบบเดิมๆ คาสิโอก็ยังคงนำเสนอรูปแบบของนาฬิกาที่หลากหลายพร้อมการใช้งานที่น่าสนใจในรูปแบบนาฬิกาข้อมือแบบดั้งเดิม

ในปี 1983 คาสิโอก็ได้เปิดตัวนาฬิกาที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีคือ G-Shock ซึ่งเป็นนาฬิกาที่ทนทานต่อแรงกระแทก โดยนาฬิการุ่นนี้ได้ฉีกภาพลักษณ์ของนาฬิกาที่เคยเป็นเครื่องประดับที่บอบบางและต้องการการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษจนไม่เหลือภาพเดิม G-shock เป็นนาฬิกาที่สมบุกสมบันทนทานต่อแรงกระแทกด้วยการออกแบบที่มีชั้นป้องกันอะไหล่และกลไกของตัวนาฬิกาถึงสามชั้น ทั้งยังมีรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ที่มาพร้อมกับการใช้งานที่หลากหลาย นาฬิการุ่นนี้จึงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายจนยอดขายทะลุทะลวงในช่วงปี 1990 และ G-shock เองก็ไม่ได้หยุดยั้งในการพัฒนา

นาฬิกายังคงมาพร้อมกับเทคโนโลยีล่าสุดเสมอจึงทำให้ G-shock กลายมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของคาสิโอในที่สุด สำหรับคนที่คลั่งไคล้ในอุปกรณ์และต้องการย่อโลกให้อยู่ในมือ คาสิโอก็ได้เปิดตัวนาฬิกาที่ตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะ นาฬิการุ่นนี้มาพร้อมกับอุปกรณ์รับสัญญาณคลื่นวิทยุเพื่อให้นาฬิกาสามารถบอกเวลาได้อย่างแม่นยำในทุกสถานที่ เช่นการบอกเวลาของแต่ละประเทศที่แตกต่างกันได้ ละสามารถที่จะตั้งเวลาปลุกหรือจับเวลาได้เช่นกัน ทั้งนี้ทาง Casio ได้การทำหนังสือคู่มือการใช้ของนาฬิกาแต่ละรุ่นเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถทำความเข้าใจถึงความสามารถของนาฬิกาแต่ละรุ่นได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายดาย

จากจุดเริ่มต้นด้วย Yubiwa Pipe มาถึงเครื่องคิดเลขและนาฬิกาที่ดีที่สุดคาสิโอเดินทางฉีกแนวมาไกลมากจากจุดเริ่มต้น แต่พวกเขาก็ยังคงสร้างความท้าทายให้กับตัวเองและคู่แข่ง และยังคงตั้งเป้าหมายใหม่ๆ เพื่อก้าวไปยังอีกระดับของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดที่โลกอิเลคทรอนิคส์จะสามารถผลิตได้

ปี 1957 Casio ได้นำผลิตภัณฑ์รุ่น 14-A ซึ่งเป็นเครื่องคิดเลขอิเล็คทรอนิคส์รุ่นแรกของโลกออกวางจำหน่าย
ปี 1965 เครื่องคิดเลขรุ่น 001 ได้ออกวางจำหน่าย
ปี 1974 นาฬิกา รุ่น Casiotron ซึ่งเป็นนาฬิกาที่รวมความสามารถทางด้านปฏิทินเอาไว้ ออกวางจำหน่าย
ปี 1983 นาฬิกา G-shock รุ่นแรก DW-5000C ได้ออกวางจำหน่าย
ปี 2007 นาฬิการุ่น OCW-S1000J ซึ่งถือว่าเป็นนาฬิกาที่ใช้พลังแสงอาทิตย์ที่มีความบางที่สุดตั้งแต่เคยมีมา ซึ่งตัวเรือนนาฬิกามีความหนาเพียง 8.9 มิลลิเมตรเท่านั้น


ธนา เธียรอัจฉริยะ

ที่มา : http://m.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1405508673


  • ระดับการศึกษา 
จบมัธยมต้นโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา
จบมัธยมปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
ปริญญาตรี เศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกียรตินิยมอันดับ 2
ปริญญาโท ด้านการเงิน Washington State University

  • ประวัติการทำงาน
เนื่องจากเข้ามหาวิทยาลัยที่สมัครไม่ได้ เลยสมัครงานและได้ทำงานที่ Delta Airlines สายการบินอันดับ 3 ของสหรัฐฯ ขณะนั้น หน้าที่ Flight Attendant ประจำฐาน Oregon ทำงานได้ปีกว่าๆ ก็เข้าเรียนและจบการศึกษาระดับปริญญาโทที่ Washington State University เอกการเงิน กลับมาได้โอกาสเข้าทำงานที่บริษัทหลักทรัพย์เอกธำรง ในส่วนงานวาณิชธนกิจ และออกจากบริษัทฯก่อนวิกฤตค่าเงินบาท ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการ

เริ่มงานที่บริษัทดีแทคในปี 1996 ในตำแหน่ง ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายการเงิน ดูแลด้าน Investor Relations ได้ทำงานหลายส่วนในดีแทค ตั้งแต่ ฝ่ายการเงิน ฝ่ายวางแผน ฝ่ายกลยุทธ์การตลาด รวมถึงเป็นหัวหน้าการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ในช่วงวิกฤต

เป็นผู้เริ่มส่วนงาน Mobile Internet ในแบรนด์ Djuice แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ลาออกไปอยู่ Hutch ช่วงสั้นๆ และกลับมาเป็นหัวหน้าฝ่าย Product & Service หลังจากคุณบุญชัยไปตามตัวกลับมารับผิดชอบส่วนงาน Prepaid และเริ่ม Happy เมื่อปี 2002 ปัจจุบัน ดูแลงานด้านพาณิชย์ทั้งหมดของ DTAC ในตำแหน่ง Chief Commercial Officer

ธนา เธียรอัจฉริยะ กลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ไปทั่วกับปรากฏการณ์ความคิดที่สวนทางกับผู้บริหารองค์กรรายอื่นในประเทศไทย ที่กล้าจะทิ้งตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง “ดีแทค” ที่ปลุกปั้นสร้างมากว่า 15 ปี ก้าวไปสู่ผู้บริหาร “แม็คยีนส์” บริษัทที่มีขนาดเล็กกว่าหลายเท่าตัว เป็นบริษัทที่ไม่ใช่ผู้นำตลาด ทั้งหมดเกิดจากความกลัว ที่ทำให้วันนี้ ธนา ต้องกล้าและบ้าบิ่นในการหาความท้าทายใหม่ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต


       จากเด็กต่างจังหวัดที่ร่ำเรียนทำงานจนสามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับสูงในประเทศไทย คงจะมีบันทึกให้เป็นประวัติศาสตร์กันอย่างมากมาย แต่จะมีสักกี่คนที่ถูกบันทึกถึงในอีกแง่มุมหนึ่งที่เมื่อเขาสามารถก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งที่แทบจะสูงสุดในองค์กร และเป็นองค์กรที่มีรายได้หลายหมื่นล้านบาทต่อปี มีอนาคตที่จะก้าวไปสู่ผู้บริหารในองค์กรที่ใหญ่กว่า มีรายได้สูงกว่า มีเจ้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่ส่งเทียบเชิญให้อย่างไม่ขาดสาย แต่กลับปฏิเสธและเลือกที่จะทำตามฝันของตนเอง
วันนี้ชื่อของ ธนา เธียรอัจฉริยะ กำลังถูกบันทึกไว้อีกแง่มุมหนึ่งของผู้บริหารระดับสูงที่ทำงานตามความฝันและนิสัยส่วนตัวที่ไม่เหมือนใคร
      “ผมชอบอะไรที่บ้าๆ สนุก มีความซนในความคิด” เป็นคำให้สัมภาษณ์เปิดใจของ ธนา เธียรอัจฉริยะ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มกลยุทธ์และกิจการองค์กร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กับผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์
จากนิสัยของธนาดังกล่าวทำให้เขาตัดสินใจรับหน้าที่ใหม่ในฐานะที่ปรึกษาของดีแทค หลังจากลาออกจากตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มกลยุทธ์และกิจการองค์กร ซึ่งจะมีผลในวันที่ 30 เมษายน 2554 ก่อนที่จะไปรับงานใหม่เป็นผู้บริหาร “แม็คยีนส์” ของบริษัท พีเค การ์เมนท์ (อิมปอร์ต-เอ็กซ์ปอร์ต) จำกัด
      การลาออกของธนา เป็นที่รับรู้ในกลุ่มเพื่อนสังคมออนไลน์บนเฟซบุ๊กตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งธนาก็ยอมรับว่าเมื่อเขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว เขาเป็นคนที่เก็บอะไรไม่ค่อยอยู่ ต้องบอกเพื่อนๆ ข่าวจึงรั่วไปถึงสื่อมวลชน และถึงซีอีโอของดีแทคคือ ทอเร่ จอห์นเซ่น แต่ช่วงเวลานั้นทั้งธนาและทอเร่อยู่ต่างประเทศ พอกลับจากช่วงวันหยุดปีใหม่จึงมีการพูดคุยและต่างก็ยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน และพร้อมที่จะช่วยสนับสนุนงานให้ตำแหน่งหน้าที่ใหม่ต่อไป “นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของผม แต่ง่ายกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา” ธนา กล่าว และว่า “อีกส่วนที่ผมได้รับแรงสนับสนุนคือภรรยาและครอบครัวที่เข้าใจนิสัยและความต้องการที่ท้าทายของผม”
สิ่งสำคัญที่ธนาย้ำที่สุดในการทำงานก็คือ “ผมกลัวที่จะเริ่มไม่รู้อะไรใหม่” คำกล่าวดังกล่าวเป็นสิ่งที่ธนาเน้นย้ำอย่างมาก เนื่องจากการทำงานทุกวันที่ดีแทค ธนาทำมานานถึง 15 ปี เข้าไปมีส่วนร่วมในการทำงานและดูแลเกือบทุกฝ่าย ยกเว้นเพียงฝ่ายเดียวคือเรื่องของเน็ตเวิร์ก ทำให้วันนี้ธนามั่นใจว่ารู้หมดทุกอย่างเกี่ยวกับบริษัทและอุตสาหกรรมโทรคมนาคมจนไม่มีอะไรใหม่สำหรับการเรียนรู้แล้ว

อย่างไรก็ตาม หากธนายังคงทำงานที่ดีแทคต่อไป เขาก็ถือว่างานนี้เป็นงานสบายๆ เวลาประชุม เวลาทำงาน ทีมงานทุกคนจะเห็นด้วยกับความคิดของเขาหมด ไม่มีใครกล้าที่จะเสนอแนะ กล้าที่จะคิดแตกต่าง ผู้บริหารระดับสูงก็ให้อิสระอย่างเต็มที่ “ผมมาถึงจุดที่ทำอะไรผิดก็ไม่มีใครเตือน” ธนา กล่าว และบอกด้วยว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องอันตราย การเปลี่ยนแปลงตัวเองและการทำงานจึงเป็นสิ่งที่ธนาคิดอยู่ตลอดเวลา โดยถือว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ดีที่สุดที่จะก้าวลงจากตำแหน่งในดีแทค เนื่องจากที่ผ่านมาธนามีบทบาทและเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันดีแทคให้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นหนึ่งในทีมสร้างแบรนด์ “แฮปปี้” จนโด่งดังแข่งกับผู้นำตลาดอย่างเอไอเอสได้อย่างสนุกสนาน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนที่ผลักดันจนดีแทคสามารถได้รับอนุมัติให้อัปเกรดคลื่น 850 MHz เป็น 3G HSPA ทำให้ดีแทคสามารถทดลองให้บริการ 3G ได้ทั่วกรุงเทพฯ “การลงจากดีแทควันนี้เหมือนกับการประกาศเลิกชกมวยของ เขาทราย กาแล็คซี่ ที่ลงในวันที่ยังแข็งแกร่ง ยังเป็นแชมป์อยู่ จึงไม่มีอะไรที่จะต้องพิสูจน์อีกแล้ว”
ยิ่งไปกว่านั้น ธนายังมองว่าอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย นับจากนี้ไม่มีอะไรใหม่ๆ ให้ได้สนุก ได้เรียนรู้ จนกว่าจะมีการประมูลใบไลเซนส์ 3G และมีการเปิดให้บริการ 3G ซึ่งเขาเชื่อว่าน่าจะกินระยะเวลาอีก 5-10 ปี อุตสาหกรรมนี้ถึงจะมีอะไรใหม่ที่น่าตื่นเต้นและท้าทายให้ได้โชว์ฝีมือ
อย่างไรก็ตาม ธนาเชื่อว่าการรับตำแหน่งที่ปรึกษาให้กับดีแทคนั้น ดีแทคน่าจะได้รับประโยชน์จากตัวเขาด้วยในฐานะที่มีแวลูคอนเนกชั่นที่สามารถติดต่อกับภาครัฐ หน่วยงานต่างๆ คุยกับพาร์ตเนอร์และส่วนต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ธนาจึงได้จบกับดีแทคแบบยังเท่ พร้อมเอ่ยปาก “บ๊าย บาย” ดีแทค กับการยกคำคมที่ได้จากประภาส ชลศรานนท์ ที่บอกไว้ว่า “รู้อะไรรู้ให้กระจ่าง และลืมมันให้หมด” เมื่อหันหลังให้กับงานที่ทำมากว่า 15 ปี งานใหม่ที่จะทำให้ชีวิตการทำงานของธนามีสีสันขึ้นมาอีกครั้งคือการเป็นผู้บริหารแม็คยีนส์ จากคำแนะนำของเจ้านายเก่า “สุวภา เจริญยิ่ง” ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่ธนาให้ความเคารพนับถือกันมา แนะนำให้ไปคุยกับ “สุณี เสรีภาณุ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีเค การ์เมนท์ (อิมปอร์ต-เอ็กซ์ปอร์ต) ผู้ผลิตและจำหน่ายแม็คยีนส์

“ผมมีโอกาสได้คุยกับพี่สุณีแค่ 3 ครั้งเท่านั้น ได้ไปดูโรงงาน ดูบริษัทที่ไม่ใหญ่นัก จึงอยากจะลองทำอะไรบ้าๆ ดูบ้าง”

เหตุผลหลักที่ธนาเลือกที่จะปักหลักกับแม็คยีนส์ เพราะเป็นธุรกิจรีเทล ธุรกิจแฟชั่นที่ไม่เคยทำมาก่อน ทำให้เกิดการเรียนรู้อะไรใหม่นับตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจ ทำให้วันนี้เขาต้องเริ่มศึกษาธุรกิจทางด้านนี้ ต้องเริ่มสำรวจตลาด เริ่มที่จะขอข้อมูลจากผู้รู้ในธุรกิจนี้ เพื่อเปิดไอเดียให้กับตนเอง
“มันเหมือนไอเดียบ้าๆ ในการที่จะผันตัวเองครั้งนี้ แต่ก็อยากลองผิดลองถูก ผิดบ้างล้มบ้าง ล้มเหลวก็ไม่เป็นไร เป็นการดาวน์ไซส์ตัวเอง”


ธนา กล่าวและว่า “ผมคงจะไม่ไปทำให้บริษัทเขาเจ๊ง แต่จะต้องไปทำให้แม็คยีนส์เติบโตขึ้น สามารถท้าชิงกับผู้นำตลาดเบอร์หนึ่งได้อย่างสนุกมากกว่า และถือเป็นการทำตามใจตนเองที่ไม่เหมือนกับความคิดของคนอื่นมากกว่า”
ธนามองว่า ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจมือถือหรือธุรกิจแฟชั่น สิ่งที่เหมือนกันคือกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นแมสเหมือนกัน ทำให้ได้สัมผัสกับผู้คนจำนวนมาก แต่หลากหลายพฤติกรรม มีความต้องการที่ไม่เหมือนกันในแต่ละกลุ่ม จึงต้องมีการศึกษาในเชิงลึกและถือเป็นสิ่งที่ท้าทายที่ทำให้เขาต้องศึกษาและหาข้อมูลกับธุรกิจใหม่ทางด้านแฟชั่น
สำหรับการเริ่มต้นงานใหม่ของธนานั้น เขาบอกว่าอาจจะต้องใช้ระยะเวลาอีกหลายเดือนในการศึกษาธุรกิจนี้อย่างจริงจัง และค่อยๆ ปรับให้เข้ากับองค์กรใหม่ และลงมือปรับเปลี่ยนองค์กรแม็คยีนส์ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น โดยอยากที่จะพัฒนาให้คนในองค์กรใหม่นี้มีความสนุกสนานเหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในดีแทค
ธนา บอกว่าเมื่อชีวิตตัวเองเริ่มที่จะขี้ขลาดและไม่กล้าจะเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ๆ ก็จะไม่สนุกกับมัน และเมื่อเขากล้าที่จะสวนทางความคิดของคนอื่นๆ กับการปรับเปลี่ยนการทำงานครั้งนี้ ชีวิตของผู้ชายชื่อ “ธนา” ก็เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงให้เห็นอะไรใหม่ๆ ยิ่งขึ้น ปัจจุบันธนา เธียรอัจฉริยะ ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GMM Z

จากบุคคลตัวอย่างที่ 4 ท่าน สามารถสรุปเป็นคำสั้นๆ ด้วยคำสามคำ ดังนี้



ช่างสังเกตุ คิดการณ์ไกล คิดสร้างสรรค์


- ร้านอาหาร  : ร้านไก่ย่างย่านแปลงเกษตรมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นร้านอาหารที่ขายอาหารจำพวกไก่ย่างส้มตำที่มีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง หากเป็นบุคคลที่อาศัยอยู่ในมหาวิทาลัยหรือใกล้แปลงเกษตรต้องเป็นอันรู้จัก สิ่งที่ร้านไก่ย่างแห่งนี้ได้รับการพูดถึงคือการให้บริการของพนักงานในร้าน เมื่อเราซึ่งเป็นลูกค้าก้าวเท้าเข้าไปภายในร้าน เราจะพบกับพนักงานของร้านส้มตำเข้ามาส่งเมนู ถามเมนูและคอยจดรายการเมนู มองแบบผิวเผินการกระทำเช่นนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ปกติมากสำหรับการเข้าร้านอาหาร
แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือ การที่เจ้าของร้านเดินมาคุย ทักทายกับลูกค้าด้วยความเป็นกันเอง สามารถเข้าถึงลูกค้า ไม่ถือตัวว่าเป็นเจ้าของร้านที่คอยนั่งอยู่ภายในออฟฟิต คอยดูแลลูกค้าตลอดเวลาที่ลูกค้ายังนั่งอยู่ในร้าน นี่คือสิ่งที่สร้างความประทับใจแก่ลูกค้าอันดับแรก อันดับที่สองคือขั้นตอนของการสั่งอาหาร อาหารที่ถูกสั่งจะนำมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว ทันใจลูกค้า ไม่ต้องรออาหารนาน เพราะลูกค้าที่เข้ามาในร้านนั้น เข้ามาด้วยความหิว หากอาหารมาช้า ลูกค้าอาจจะเกิดความไม่พอใจ หรือเสียความรู้สึกกับร้านและไม่เข้ามาใช้บริการร้านอีก เมื่อทานอาหารเสร็จแล้วความประทับใจสุดท้าย เวลาจ่ายเงิน เจ้าของร้านจะมีการลดราคาอาหารให้ไม่มากก็น้อย สิ่งที่ร้านไก่ย่างร้านนี้ทำสามารถสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าได้เป็นอย่างดี สังเกตได้จากเมื่อเอ่ยถึงชื่อร้าน ทุกคนทีเคยเข้ามาใช้บริการ หรืออาศัยอยู่ภายในมหาวิทยาลัยจะรู้จัก ทั้งด้านชื่อเสียงและการบริการ

- เครือข่ายโทรศัพท์ : เครือข่ายโทรศัพท์ที่มีอยู่ในประเทศไทย การบริการของแต่ละเครือข่ายนั้นไม่เหมือนกันโดยแต่ละเครือข่ายจะมีแนวทางทางในการให้บริการแบบของตน แต่ในปัจจุบันเป็นยุคของความสะดวก และรวดเร็วมาเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยหน้าที่การงาน ด้วยภาระหน้าที่ที่เร่งชีวิตของคนเราให้วิ่งตามเวลา ความรวดเร็ว ทันใจ สะดวกสบาย จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับคนสมัยนี้ ดังนั้นบริษัทที่จะตอบสนองความต้องการเหล่านี้ของลูกค้านั้นต้องมีความรวดเร็ว และสามารถตอบสนองความสะดวกสบายแก่ลูกค้าได้ ในที่นี้จะขอเอ่ยเครือข่ายโทรศัพท์นามสมมติ เปรียบเทียบกับระหว่าง บริษัท A และ บริษัทB ทั้งสองบริษัทเป็นผู้นำเครือข่ายโทรศัพท์ในประเทศ เมื่อคนในประเทศหันมาใช้ระบบ 3G มากขึ้น ระบบจ่ายค่าโทรศัพท์รายเดือนจึงตามมา บริษัท B นั้นเป็นผู้นำด้าน 3G ในยุคแรก แต่เนื่องด้วยคุณภาพในการให้บริการไม่สม่ำเสมอ ลูกค้าจึงเทใจหันมาใช้บริการบริษัท A ที่มีการให้บริการที่สะดวก รวดเร็วกว่า เช่น เมื่อต้องการดำเนินการย้ายเครือข่ายโทรศัพท์ เปลี่ยนโปรโมชั่น ก็สามารถที่จะโทรไปยัง Call center ได้ในทันที ไม่ต้องเสียเวลาในการเข้าไปที่ศูนย์ของเครือข่ายโทรศัพท์ รวมถึงการจัดเวลารอในการรอคอย หรือการจัดการลูกค้าเมื่อลูกค้าเข้ามาใช้บริการในศูนย์ แทบจะไม่ได้รอคอย มีการทำงานที่รวดเร็ว ทันใจลูกค้า พนักงานให้บริการด้วยความเต็มใจ ซึ่งต่างจากบริษัท B ที่มีแถวของลูกค้าที่รอคอยการใช้บริการนั้นยาวมาก เมื่อมองดูแล้วทำให้รู้สึกไม่อยากใช้บริการเครือข่ายนี้เพราะไม่อยากรอคอย ไม่สะดวกในการเปลี่ยนเครือข่าย เป็นต้น

- บริษัทจำหน่ายรถยนต์ : บริษัทจำหน่ายรถยนต์ 2 ค่ายในประเทศไทย ที่มีความแตกต่างกันด้านราคาและการให้บริการ โดยในที่นี้จะใช้นามสมมติ ค่ายที่ 1 จะเรียกว่า ค่าย ลูกอม ส่วนอีกค่ายจะเรียกว่า ค่าย แฟนต้า การบริการถือเป็นหัวใจของการขายสินค้าก็ว่าได้ หากลูกค้าไม่ได้รับความพึงพอใจอาจจะกระทบในการซื้อสินค้าของทางบริษัทได้ ทางค่ายลูกอมนั้นจำหน่ายรถยนต์ในราคาที่สูงเมื่อเทียบกับค่ายอื่นๆที่อยู่ในเกรดรถเดียวกัน ด้านบริการนั้นบริการได้ดี สามารถสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการได้เป็นอย่างดี สอบถามจากบุคคลที่เคยเข้าไปใช้บริการ แต่จำนวนศูนย์ที่กระจายอยู่ตามจังหวัด หรือภูมิภาคนั้นยังมีไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับค่าย แฟนต้า ค่ายแฟนต้าเน้นจำหน่ายรถในราคาที่ถูกกว่า ค่ายลูกอม แต่ทว่าค่ายแฟนต้าน้นมีจำนวนศูนย์ที่มากกว่า และในด้านบริการลูกค้าค่ายแฟนต้าก็สามารถทำได้ดีเทียบเท่ากับค่ายลูกอม สอบถามจากผู้ที่เคยเข้าใช้บริการ การตอบสนองความต้องการด้านความสะดวกสบายของลูกค้ามีมากกว่าค่ายลูกอม จึงทำให้ค่ายแฟนต้ามีลูกค้าเพิ่มขึ้นในทุกๆปี

- คอมพิวเตอร์ : แบรนด์คอมพิวเตอร์ 2 ค่ายที่มีชื่อเสียงเหมือนกัน แต่การให้บริการที่แตกต่างกัน โดยเริ่มที่แบรนด์ A ลูกค้าที่ต้องการซื้อคอมพิวเตอร์นั้นสามารถที่จะกำหนด Spec เครื่องได้ตามต้องการ เมื่อสินค้ามีปัญหาพนักงานของบริษัทจะมาให้บริการซ่อมสินค้าถึงบ้านโดยไม่ต้องเสียเงิน
ซึ่งการให้บริการแบบนี้ต่างจากค่ายคอมพิวเตอร์อื่น และเมื่อเทียบแบรนด์ B ที่มีการให้บริการดี
เมื่อครั้งเราเดินเข้าร้านเพื่อต้องการที่จะซื้อคอมพิวเตอร์ มีการดูแลลูกค้าเป็นอย่างดี การสนทนากับลูกค้า สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ ได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดีเมื่อยู่ในร้าน แต่เมื่อซื้อสินค้ามาแล้ว
สินค้าเกิดปัญหา กลับไม่ได้รับความสนใจ และการดูแลจากพนักงานเท่าที่ควรซ้ำร้ายไปกว่านั้นพนักงานยังแสดงออกทางสีหน้าที่แสดงถึงความไม่พอใจที่ลูกค้านำสินค้ามาซ่อม
สอบถามจากผู้ที่เคยเข้าไปใช้บริการ ซึ่งต่างจากตอนที่เข้าไปซื้อคอมพิวเตอร์ ทำให้ลูกค้าท่านนี้เปลี่ยนใจหันไปใช้แบรนด์คอมพิวเตอร์แบรนด์อื่น

จาก Case Study ทั้ง 4 Case สามารถสรุปเป็นคำสั้นๆ ด้วยคำสามคำ ดังนี้


“บริการดี รวดเร็ว สร้างความประทับใจ”

Divergence ของกลุ่ม คือ อดทน คิดสร้างสรรค์ สร้างความประทับใจ

10 ปีข้างหน้า ตื่นเช้าเพื่อไปออกกำลังกายกันที่สวนสาธารณะในเมือง เสร็จแล้วกลับมานั่งรับประทานอาหารเช้า และแวะไปดูความเรียบร้อยของโรงแรม และแขกที่เข้าพัก พนักงานในโรงแรมของเราทุกคนต่างมีความสุขในการทำงานต้อนรับลูกค้า ด้วยการมีใจรักในการบริการในพนักงานทุกคน ทุกคนในองค์กรให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ทำงานกันอย่างเต็มความสามารถทั้งผู้บริหาร และพนักงาน เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดคือ ลูกค้ามีความพึงพอใจในการเข้าใช้บริการของโรงแรม

10 วัน

  1. เข้าไปสำรวจ โดยการเข้าพัก บูติค โฮเต็ลที่เปิดกิจการให้ได้มากที่สุด
  2. สำรวจชุมชนที่ไปเข้าพัก และสำรวจการดำเนินชีวิตในพื้นที่ ที่เราจะเปิดกิจการ
  3. มองหาจุดเด่นของชุมชน ที่เราจะเปิดกิจการ
  4. เริ่มมองหาเงินทุน
  5. เข้าเว็บ pantip หาตัวอย่างการรีโนเวทบ้านเก่า

10 สัปดาห์

  1. สรุปรายละเอียดที่ได้ทั้งหมดให้ได้มากที่สุด ทั้งรูปแบบการบริการ รูปแบบการตกแต่ง/สถาปัตยกรรม การดำเนินชีวิตของคนในชุมชนที่เราไปพัก และชุมชนในพื้นที่ ที่เราจะเปิดกิจการ
  2. ศึกษาข้อมูลการทำธุรกิจ / กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  3. เปรียบเทียบบุคคลตัวอย่างของนักธุรกิจในธุรกิจ "บูติค โฮเต็ล"
  4. ศึกษาการออกแบบ/ตกแต่ง เพื่อเป็นแนวทางในการแตกแต่งของธุรกิจเราเอง
  5. หาแหล่งเงินทุน
10 เดือน

  1. ได้เงินทุน
  2. รีโนเวทบ้านเก่าให้เป็น บูติค โฮเต็ล
  3. ควบคุมการก่อสร้างและการตกแต่ง
  4. เดินเรื่องเกี่ยวกับบ้าน ทั้งการไฟฟ้า การประปา การจดทะเบียน เป็นต้น
  5. เริ่มเปิดกิจการในระยะเวลาที่ 14 เดือน
  6. รับสมัครพนักงาน และเทรนพนักงาน เน้นหนักเรื่องการบริการ การยิ้ม และ skill ทั้งหมดที่ใช้ในการบริการการโรงแรม
  7. ประชาสัมพันธ์ และร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อประชาสัมพันธ์โรงแรม
  8. ประชาสัมพันธ์ และรีวิวห้องพัก ผ่านเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น chill, pantip เป็นต้น
  9. มีโปรโมชั่นให้ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าบอกต่อ ปากต่อปาก
10 ปี

ตื่นเช้าเพื่อไปออกกำลังกายกันที่สวนสาธารณะในเมือง เสร็จแล้วกลับมานั่งรับประทานอาหารเช้า และแวะไปดูความเรียบร้อยของโรงแรม และแขกที่เข้าพัก พนักงานในโรงแรมของเราทุกคนต่างมีความสุขในการทำงานต้อนรับลูกค้า ด้วยการมีใจรักในการบริการในพนักงานทุกคน ทุกคนในองค์กรให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ทำงานกันอย่างเต็มความสามารถทั้งผู้บริหาร และพนักงาน เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดคือ ลูกค้ามีความพึงพอใจในการเข้าใช้บริการของโรงแรม

ในส่วนของเนื้องานหรือกิจกรรมประจำวันของเราคือการพูดคุยแนะนำลูกค้า ดูแลระบบการให้บริหารให้เป็นไปตามรูปแบบที่เราวางเอาไว้ โดยเอกลักษณ์ของ บูทีค โฮเทลของเราคือความเรียบง่ายอย่างสไตล์ภายใต้วัฒนธรรมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และการสร้างประสบการณ์ให้นักท่องเที่ยวได้ใช้ชีวิตเหมือนเป็นคนขอนแก่นจริงๆ ทั้งในด้านอาหารการกิน การใช้ชีวิตและศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่น โดยตัวพนักงานและเจ้าของอย่างเราเป็นเหมือนเพื่อนเหมือนไกด์ที่จะช่วยเหลือให้คำแนะนำและพานักท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ ที่เขาต้องการ หรือที่ที่เราอยากแนะนำให้ได้ไปพยายามสร้างความเป็นกันเองกับลูกค้า และลูกทีมงานของเราทุกๆคน

หลังเลิกงานในกะทำงานปกติคือเวลาประมาณ 17.30 น. พนักงานและเจ้าของอย่างเราจะมานั่งประชุมพูดคุยกันถึงการทำงานในวันนี้ว่าดำเนินการมาเป็นอย่างไรบ้างมีปัญหาติดขัดอย่างไร แขกผู้เข้าพักมีความต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งงานในการให้บริการแต่ละครั้งอาจมีความแตกต่างหลากหลาย แต่ที่สุดแล้วเราต้องการให้ลูกค้าเราเปรียบเสมือนมาเที่ยวบ้านเพื่อนที่อยู่ต่างแดนหรือต่างเมือง


หลังจาก 10 ปี

กิจการเป็นไปได้ดี มีชื่อเสียงในด้าน บูติค โฮเต็ล ได้เวลาที่ทั้ง 4 คน ได้ทำตามความฝันของตัว ไม่ว่าจะเรื่องการใช้ชีวิต หรือการท่องเที่ยว พนักงานทุกคนในองค์กรมีความสุข มีชีวิตที่ดีขึ้น
เราสามารถทำให้ลูกค้ามีความสุขที่ได้เข้าพัก ได้ความทรงจำที่ดีกลับบ้านไปด้วย เป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมอิสานที่คงความเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิม